สปอยล์แซ่บยิบ The Red Sleeve EP16 -17 ตอนจบ
The Red Sleeve ออกอากาศ 2 ตอนสุดท้ายพร้อมกันในคืนวันเสาร์ที่ 1 มกราคม ปี 2022 เรื่องราวของ ซองด็อกอิม (อีเซยอง) กับ พระเจ้าจองโจ (อีจุนโฮ) จะเป็นอย่างไร มาตามอ่านสปอยล์ด้านล่างนี้กันได้เลย
ความเดิมตอนที่แล้ว
1 ปีที่จากกันไป เมื่อฝ่าบาทบอกรักและคิดถึงด็อกอิม แต่เธอก็ยังคงปฏิเสธ ในที่สุด เมื่อฝ่าบาทหันหลังเดินจากไป เธอก็คว้าแขนเสื้อของเขาไว้…
สปอยล์ The Red Sleeve EP16
แต่ก่อนจะเข้าสู่โหมดโรแมนติก งานก็เข้าด็อกอิมเต็ม ๆ เธอถูกจับข้อหาร้ายแรงของนางในคือการล่วงประเวณีกับชายอื่น โดยมีพระพันปีเป็นผู้ตัดสินโทษและมีพระสนมฮวาบินเป็นคนฟ้อง ฝ่าบาทที่ตำหนักของสนมพอดีได้ทราบเรื่องก็รีบรุดเข้าไปในตำหนัก
ปลอกแขนกันหนาวสีน้ำเงินถูกนำมาเป็นหลักฐาน และในที่สุดก็ถูกเฉลยว่ามันเป็นของพี่ชายด็อกอิม เมื่อพระมารดาหลวงของฝ่าบาทมาช่วยยืนยันว่าด็อกอิมและพี่ชายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ที่อยู่คนละตระกูลเพราะเธอให้คนรับใช้รับด็อกอิมเป็นบุตรบุญธรรม แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ สนมฮวาบินยังมีการคาดโทษกันต่อกลายเป็นด็อกอิมถูกตราหน้าว่าถึงจะไม่ได้มีการคบหาชายอื่นแต่ก็เป็นบุตรขององค์รักษ์ที่เคยรับใช้องค์รัชทายาทซาโดผู้เป็นอาชญากร ยิ่งทำให้ฝ่าบาททรงหัวเสียเพราะเขาคือโอรสของคนที่สนมฮวาบินกำลังว่าร้าย ในที่สุด เหตุการณ์ก็เริ่มลุกลาม
ฝ่าบาทถามกับพระพันปีว่า เขาควรจะเป็นฝ่าบาทต่อไปหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้แน่นอนว่า สมควร ด้านสนมฮวาบินที่เดินเกมพลาดก็ได้แต่ร้องไห้และถูกพระพันปีเมินจากชีวิต
ฝ่าบาทเบื่อหน่ายกับสถานการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เขาจึงบอกกับซอซังกุงว่า คืนนี้ให้พาด็อกอิมมาถวายตัวกับเขาซะ!!
สาเหตุที่พระพันปีเล่นงานด็อกอิมนั่นก็เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ยอมถอนคำสั่งเนรเทศพี่ชายของเธอนั่นเองจึงร่วมมือกับสนมฮวาบิน
ด็อกอิมที่ไม่อาจปฏิเสธการช่วยเหลือของฝ่าบาทได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงต้องไปขัดสีฉวีวรรณให้ตัวหอม แต่งหน้าทำผมสวมอาภรณ์และเครื่องประดับสวยงามให้พร้อมในคืนวันสำคัญก่อน ในขั้นตอนต่าง ๆ นี้ ด็อกอิมยังดูเหมือนมีอะไรในใจ
คืนนั้น ซอซังกุงมาส่งด็อกอิมด้วยตัวเองที่ตำหนักแห่งหนึ่งตามที่ฝ่าบาทร้องขอ ในห้องถวายตัวนั้นมีฝ่าบาทที่อยู่ในชุดนอนนั่งจิบชารอเธอตรงที่นอนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อซังกุงออกไป เขาบอกให้เธอเข้ามานั่งใกล้ ๆ ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างเปิดใจ ก่อนที่ฝ่าบาทจะเลื่อนสำรับอาหารออกไป และคุกเข่าลงหน้าเธอพร้อมโน้มตัวจับเธอมากอดไว้แนบอก
(ยัง….ทั้งคู่ยังคงพูดคุยกันต่ออีก 3 หน้ากระดาษตามบท)
ฝ่าบาทที่โอบกอดด็อกอิมไว้นั้นถ่ายทอดคำพูดที่ตัวเองอยากจะบอกกับเธอ
“แม้เจ้าจะบอกว่าไม่ได้รักข้า
แต่เจ้าก็ยังเป็นของข้า
อย่าได้ไปร้องไห้ในที่ที่ไม่มีข้าอีก
อย่าได้เจ็บปวดเพราะใครอื่น…ที่ไม่ใช่ข้าอีก”
ด็อกอิมที่อยู่ในอ้อมอกฝ่าบาท เธอยังคงปฏิเสธเขาด้วยการใช้มือดันอกเขาออกไป เธอบอกว่าตัวเองทำทุกอย่างตามที่เคยให้สัญญาไว้กับฝ่าบาทแล้ว เธอปกป้องเขาจนได้ขึ้นครองราชย์สำเร็จ ไม่มีสิ่งใดที่จะให้ฝ่าบาทได้อีก ได้โปรดปล่อยเธอไป
ฝ่าบาทยังไม่ลดละความพยายาม เขาถามเธออย่างจริงจังว่า “เจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่เจอเขาอีกต่อไปได้หรือ จะให้ข้าปล่อยมือเจ้าไปแบบนี้จริง ๆ หรือ ถ้าผ่านคืนนี้ไป นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน…ข้ารักเจ้า” เขาแสดงความจริงใจทั้งหมดที่มีต่อหน้าเธอ ทั้งคู่จ้องตากัน ด็อกอิมเป็นฝ่ายลดสายตาลงและดูครุ่นคิด นั่นทำให้ฝ่าบาทเริ่มถอดใจจึงเริ่มจะปล่อยมือจากด็อกอิม แต่ชั่วอึดใจเดียวด็อกอิมกลับเป็นฝ่ายยื่นมือไปกระชับมือฝ่าบาทไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้างของเธอเองแทนคำตอบจากปากของเธอและสายตาของทั้งคู่ก็จ้องมองกันอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง ฝ่าบาทรู้ว่านี่คือคำตอบแล้วจึงจับมือเธอไว้แน่นและใช้มือข้างซ้ายดึงตัวเธอเข้ามาบรรจงจูบ ทั้งคู่จูบกันเนิ่นนานให้สมกับที่ (คนดู) รอคอย มือขวาของฝ่าบาทเริ่มเคลื่อนไปที่ใบหน้าและบรรจงพรมจูบเธอต่อไป…
.
.
.
ณ เวลารุ่งสาง ด็อกอิมไม่ได้หลับอยู่แต่กลับนั่งมองใบหน้าของฝ่าบาทขณะกำลังนิทราอย่างใกล้ชิด เธอไม่เคยได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้มาก่อน ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบไล้ใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน แววตาของเธอที่จ้องมองเขาในตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง นอกจากความรักที่มีให้ มันยังแฝงไปด้วยความสุขใจและอิ่มเอม ไม่ทันไรฝ่าบาทก็รู้สึกตัวลืมตาตื่นและจับที่ข้อมือของหญิงสาวไว้ ทั้งคู่จ้องมองหน้ากัน แล้วฝ่าบาทก็เปลี่ยนไปจับไหล่ของด็อกอิมและดันตัวเธอลงไปจากนั่งกลายเป็นนอน ในขณะที่เขาก็พลิกตัวลุกขึ้นมาแทน ใบหน้ากับใบหน้าที่อยู่ตรงข้ามกัน ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากของทั้งคู่ยกเว้นก็แต่รอยยิ้มและการก้มบรรจงจูบของฝ่าบาท ด็อกอิมจูบตอบและจูบกันต่อไปอยู่อย่างนั้น…
ตอนนี้ซองด็อกอิมไม่ได้สวมอาภรณ์ที่มีปลายแขนเสื้อสีแดงอีกต่อไป เธอเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดของซังกุงพิเศษที่มีปลายแขนเสื้อสีขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้วในฐานะ “ซองซังกุง”
เพื่อน ๆ ของด็อกอิมต่างก็ตกใจกันแตกตื่นเมื่อรู้ข่าวที่ตอนนี้เพื่อนนางในคนสนิทจู่ ๆ ก็กลายเป็นซังกุงพิเศษในชั่วข้ามคืน “ด็อกอิมร่วมคืนวสันต์กับฝ่าบาทแล้ว” บ๊กยอนบอกกับคยองฮีและยองฮี ทั้งคู่ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วพวกเธอทั้งสามคนก็เข้าพบกับซองซังกุงและพูดคุยด้วยภาษาสุภาพอย่างเป็นทางการ มีเพียงคยองฮีที่งอแง ด็อกอิมอนุญาตให้เพื่อน ๆ คุยกับเธอด้วยภาษากันเองเหมือนเดิมถ้าอยู่กันตามลำพัง
ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 10 วัน ฝ่าบาทแวะไปหาด็อกอิมด้วยความคิดถึงในคืนนั้น คุยกันนิดเดียวก็เอะอะกอด เอะอะจูบ พูดคุยบอกคิดถึง แป๊บ ๆ ก็จูบอีก (อะ จูบกันเข้าไปให้หนำใจ)
ตอนเช้า ฝ่าบาทว่าราชกิจด้วยความเกรี้ยวกราด และเดินออกไปจากท้องพระโรง มิได้ทรงเสด็จไปไหนไกล แต่ไปหาด็อกอิมนั่นเอง เขานอนตักด็อกอิมสบายอารมณ์และผ่อนคลาย เมื่อหลับไปก็กลับฝันร้าย แต่ก็มีด็อกอิมคอยปลอบใจอยู่ใกล้ชิด
ตกดึกฝ่าบาทก็วิ่งมาหาด็อกอิมทั้งฉลองพระองค์เต็มยศด้วยความเป็นห่วง สุดท้ายก็ไม่พ้นค้างคืนที่ตำหนักของด็อกอิม (ตอนนี้เรียกเธอกันว่า ซองซังกุง หรือแบบไทย ๆ ว่า ซังกุงซอง)
แล้วความขยันของฝ่าบาทก็เป็นผล ในที่สุด ด็อกอิมก็ท้องแล้วจ้า ฝ่าบาทได้ข่าวเรื่องนี้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ตอนนี้เขากำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว
แต่ถึงจะอยากอยู่กับด็อกอิมคนเดียว แต่มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ฝ่าบาทต้องแวะไปหาพระมเหสีในคืนที่รู้ว่าด็อกอิมตั้งครรภ์ เพราะพระมเหสีก็อยากมีลูกมาก แต่ก็ยังไม่มี ด็อกอิมเองนั้นเข้าถวายตัวมาเพียง 3 เดือนก็ตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งด็อกอิมเองก็เข้าใจโดยมีซอซังกุงมาปลอบใจ เธอยอมรับตั้งแต่ตอนตัดสินใจแล้วว่าชีวิตที่เลือกนี้ไม่สามารถได้ฝ่าบาทมาทั้งหมด ฝ่าบาทคือพระสวามีของพระมเหสี หาใช่เธอไม่
รุ่งสาง ฝ่าบาทโผล่มานั่งเฝ้าด็อกอิมที่กำลังหลับอยู่ เขาลูบหัวเธอด้วยความทะนุถนอมอย่างแผ่วเบา เมื่อเธอตื่น เขาก็ขอโทษเธอ 2 คนพูดคุยเรื่องลูกน้อยในครรภ์ด้วยความยินดี
ในท้องพระโรง บรรยากาศเปลี่ยนไป ฝ่าบาทอารมณ์ดี ขุนนางต่างก็แสดงความยินดีกับฝ่าบาทกันครึกครื้น
เมื่อถึงเวลาที่เพื่อน ๆ ของด็อกอิมได้ออกไปนอกวัง ด็อกอิมเดินออกมาส่งเพื่อน ๆ ที่เดินจากไป เธอเฝ้ามองภาพนั้นแล้วน้ำตาไหลอาบ 2 ข้างแก้ม ด็อกอิมที่เคยอยากจะมีกันอยู่ 4 คนแบบนี้ตลอดไปต้องเปลี่ยนไปกับการตัดสินใจที่ไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
เธอนอนพักผ่อนในห้องคนเดียว น้ำตาไหลริน เมื่อตื่นขึ้นมาก็เจอกับฝ่าบาทที่มานั่งเฝ้า เขาเฝ้าดูแลเธอไม่ห่างเมื่อมีเวลา นอกจากนี้ยังเอากระดาษมานั่งตั้งชื่อตำแหน่งให้ด็อกอิมอีกด้วย เพราะในตอนนี้ด็อกอิมตั้งครรภ์แล้ว ก็จะได้เลื่อนจากซังกุงพิเศษไปเป็นสนม ฝ่าบาทเลือกชื่อ “อึย” ซึ่งมีความหมายซ่อนไว้ลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานบ้านงานเรือนเรียบร้อย หรือจะเป็นการรักใคร่กันของสามีภรรยา เขาให้เหตุผลว่า เพราะอยากจะเป็นครอบครัวเดียวกับด็อกอิม ด้วยความฉลาด ด็อกอิมยังรู้ทันอีกด้วยว่า ตัวอักษรนี้มีความหมายว่า “รัก” ซ่อนอยู่ด้วย ฝ่าบาทแอบเขินและลุกขึ้นมานั่งข้างหลังและโอบกอดเธออย่างอบอุ่น มันทำให้ด็อกอิมไม่เหงาหรือเศร้าใจอีกต่อไป สามีภรรยาพูดคุยหยอกล้อเรื่องลูกในท้องกันอย่างมีความสุข
“ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วจริง ๆ นะ”
สปอยล์ The Red Sleeve EP17 ตอนจบ
ซองอึยบิน หรือสนมเอก ตระกูลซอง ยืนอยู่หน้าตำหนักของฝ่าบาทพร้อมเหล่าซังกุงและองครักษ์ ด้านในนั้น ฝ่าบาทกำลังตะคองกอดองค์ชายรัชทายาทมุนฮโยซึ่งเป็นโอรสของเขาที่เกิดกับสนมเอกซอง หมอหลวงพยายามอธิบายอาการที่หนักขององค์รัชทายาทซึ่งเป็นโรคหัด ไม่นานเด็กน้อยก็จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ ฝ่าบาท พระมารดาหลวงและ พระพันปีต่างก็ร่ำไห้เสียพระทัย
สนมเอกซองไม่สามารถเข้าไปเจอหน้าองค์ชายรัชทายาท และถูกส่งกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อน เนื่องจากกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 และไม่เคยเป็นโรคหัดมาก่อน เธอเดินกลับไปที่ตำหนักด้วยความเป็นห่วงแต่โอรส แล้วก็แทบจะล้มทั้งยืนเมื่อระหว่างการเดินกลับได้ยินเสียงประกาศของขันทีว่า องค์รัชทายาทสิ้นแล้ว ลูกชายคนเดียวของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับตั้งแต่เยาว์วัย เขาได้เกิดมาเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์แต่กลับจากไปเร็วถึงเพียงนี้
ด็อกอิมไม่เป็นอันกินอันนอน นอนก็เหมือนตายทั้งเป็น ฝ่าบาทได้แต่มาเฝ้าปลอบใจเธอทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง โดยที่ตัวเองก็ต้องไปแอบร่ำไห้อยู่เพียงลำพังอย่างเดียวดาย ลูกชายที่เกิดจากหญิงคนเดียวที่เขารักสุดหัวใจ เฝ้าดูแลทะนุถนอมตั้งแต่แบเบาะจากไปแล้วโดยที่เขาซึ่งเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็ทำอะไรไม่ได้เลย
แต่แล้วระหว่างนั้นเพื่อนสนิทอย่าง ยองฮี ยังต้องมาติดคุกอีกในข้อหาล่วงประเวณี เธอแอบลักลอบคบหากับชายคนรักซึ่งถือเป็นข้อหาร้ายแรงของนางใน ซึ่งทำให้ด็อกอิมได้แต่ไปเยี่ยมยองฮีที่คุก และยิ่งทำให้ด็อกอิมเศร้าเสียใจอย่างหนัก เธอได้ตัดพ้อว่าตัวเองอยู่แต่กับความเสียใจที่ลูกจากไป ไม่ได้สนใจเพื่อนและยังไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเพื่อนสนิทคนนี้ได้เลย ยองฮีถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด
บรรยากาศความเศร้าเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งวัง ชุดไว้ทุกข์ถูกนำมาใส่อีกครั้งเมื่อราชวงค์มีการสูญเสีย ทั้งสูญเสียลูกไป อีกทั้งเพื่อนสนิทก็ติดคุกและต้องโทษประหาร ด็อกอิมที่เศร้าใจและขุ่นเคืองฝ่าบาทขออยู่คนเดียวตอนที่เขามาเฝ้าเธอ ฝ่าบาทที่ไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินออกไป
เมื่อหมดเวลาไว้ทุกข์ ฝ่าบาทก็ต้องกลับมาว่าราชการตามเดิม เขามีอาการวิงเวียงจนถึงกับล้มในท้องพระโรง ท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าขุนนาง
สนมเอกซองมาเข้าเฝ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ฝ่าบาทด้วยความเป็นห่วงใย เขาขอให้เธออ่านหนังสือเล่มโปรดที่เคยอ่านให้ฟังตอนเขาถูกกักตัว ภาพความหลังย้อนคืนกลับมา ทว่า ด็อกอิมดูหน้าซีดจนคนป่วยอย่างฝ่าบาทยังตกใจ เขารีบจับหน้าผากเธอดูและรู้ว่าเธอไม่สบายกว่าเขาอีก
ด็อกอิมล้มหมอนนอนเสื่อ ทุกคนต่างก็เป็นห่วงเธอ โดยเฉพาะฝ่าบาท เขารีบมาเฝ้าเธอไม่ห่าง ด็อกอิมในตอนนี้มีใบหน้าที่ซีดเซียว เธอดูไม่มีเรี่ยวมีแรง ตั้งแต่เสียลูกชายไป ร่างกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังพูดกับฝ่าบาทได้ ฝ่าบาทเสียใจที่ทำให้เธอตรอมใจจนร่างกายทรุดโทรม
เขาพูดกับเธอว่า “ถ้าเจ้าเป็นเพียงนางใน เรื่องอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเจ้า” สนมเอกซองหรือด็อกอิมตอบกับฝ่าบาทว่า “ฝ่าบาททรงยังไม่รู้อีกเหรอว่า ถ้ากระหม่อมไม่ต้องการจริง ๆ ยังไงก็จะหนีไปให้ได้ทุกวิถีทาง” ทว่า นั่นเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับฝ่าบาท ด็อกอิมสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าฝ่าบาท ฝ่าบาทเฝ้าแต่พร่ำเรียกหาหญิงที่เขารักสุดหัวใจปานใจจะขาด พยายามปลุกให้เธอตื่น แต่ไม่ว่าจะเรียกเท่าไหร่ เธอก็ไม่ตอบรับเขาอีกต่อไปแล้ว
คยองฮีกับบ๊กยอนมาเก็บของให้ด็อกอิม พวกเธอพับชุดนางในปลายแขนเสื้อแดง กับ ชุดของสนมวางเคียงคู่ ด้านข้างมีกองหนังสือเล่มโปรดของด็อกอิมวางไว้เป็นตั้ง แค่เห็นชื่อหนังสือ บ๊กยอนก็ร้องไห้ออกมา คยองฮีเข้าไปกอดปลอบใจ ทั้งคู่ร้องไห้กันไม่หยุดด้วยความคิดถึงเพื่อนรักที่จากไปอย่างกะทันหัน
ฝ่าบาทสูญเสียทั้งโอรสและหญิงที่รักที่สุดไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ในขณะที่ยังต้องคัดเลือกสนมใหม่ แต่เขาไม่มีอารมณ์ใด ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงสาวที่เข้ามาจะหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักสดใสปานใดก็ตาม ซอซังกุงเล่าเรื่องนี้ให้กับราชองค์รักษ์ฟังและร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ด็อกอิมที่เธอรักเหมือนลูกสาวจากไปไวจนใจหาย
ในตอนนี้ฝ่าบาทได้แต่เฝ้าคิดถึงหญิงคนรัก ระหว่างมื้ออาหารมองเห็นเกี๊ยวน้ำในชามก็ย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่ด็อกอิมนำมาถวายเขา และพูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนาน เป็นมื้ออาหารที่เอร็ดอร่อยและมีความสุขเมื่อมีเธออยู่ข้างกาย แต่ตอนนี้จะไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว…
ฝ่าบาทปกครองบ้านเมืองต่อไปอีกหลายปี แม้ในใจจะดูว่างเปล่า วันหนึ่งเขาได้กลับไปยังตำหนักเก่าของสนมเอกซองที่ตอนนี้ถูกทิ้งร้าง ไม่มีเจ้าของใหม่เข้ามาอยู่ ป้ายบ้านน้องหมาหลุดร่วง ฝ่าบาทเก็บขึ้นปัดใบไม้และวางมันที่เดิมเหมือนที่ด็อกอิมเคยทำ
เมื่อเขาเดินไปยังสะพานริมน้ำ ก็ได้แต่เฝ้าคิดถึงตอนทำพัดหล่นน้ำเผยตัวครั้งแรกให้ด็อกอิมได้รู้ ใบหน้าของเขาราวกับคนไร้วิญญาณ ตอนนี้ไม่มีแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างที่เคยมีเมื่อตอนมีด็อกอิมอยู่เคียงข้าง
ในตอนนี้คยองฮีก้าวขึ้นเป็น แบซังกุง เธอนำกล่องของใช้ส่วนตัวของด็อกอิมมามอบให้ฝ่าบาท ในนั้นบรรจุความทรงจำนับร้อยนับพันระหว่างเขากับเธอ ทั้งหนังสือที่ด็อกอิมคัดเอง จดหมายขอโทษที่เขาเคยแกล้งให้เธอเขียนเป็นร้อยฉบับ แค่นึกถึงวันเก่า ๆ ฝ่าบาทก็สามารถยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความถวิลหา ด้านในสุดของกล่องเก็บชุดของนางในปลายแขนสีแดงไว้ ด็อกอิมเป็นนางในที่ฉลาดและยังเคยพึงพอใจที่จะเป็นแค่นางในในแบบฉบับของเธออีกด้วย ตอนนี้ฝ่าบาททำได้แค่กอดชุดนางในตัวเดิมนั้นไว้และร้องไห้ไปกับความสุขที่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยมีมันอยู่ข้างกาย
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ฝ่าบาทเองก็แก่ตัวลง สายตาก็เริ่มไม่ดีจนต้องใส่แว่น เขาเริ่มป่วยจนต้องนอนรักษาตัว และขออยู่ตัวคนเดียว หมอหลวง ขันทีและราชองครักษ์ทยอยออกไปทีละคน
ฝ่าบาทเฝ้านอนคิดถึงความหลังครั้งยังมีสนมเอกซองนอนอยู่เคียงข้าง ได้มองหน้า ได้พูดคุย ได้สัมผัสเธอ แล้วเขาก็หลับตาลงอย่างสงบ
ครั้งหนึ่งตอนที่ด็อกอิมเพิ่งถูกแต่งตั้งไม่นาน เขาไปหาและนอนตักเธอที่ตำหนักและเผลอหลับไปท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิอย่างมีความสุข แต่เขากลับฝันร้าย เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็ตัวสั่นรีบจับมือเธอและบอกว่า “เจ้าอยู่ตรงนี้นี่เอง” แค่ความฝันว่าจะไม่มีเธออยู่เขายังตกอกตกใจจนมือไม้สั่น น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว ครั้นถึงเวลาต้องไป แทนที่จะเปิดประตูก้าวออกไป เขาก็หันหลังกลับมาหาเธออีกครั้ง เขานึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีด็อกอิมอยู่เคียงข้าง เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร แค่มีเธออยู่ข้างกายเขาอะไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
“ข้ายอมฝืนลิขิตฟ้าเพื่อมารักกับเจ้า
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแทนที่เจ้าได้”
ลิงค์ดู The Red Sleeve ซับไทย
- คลิก ที่นี่ เพื่อดูซับไทย ที่ Viu
ถ้าหากคุณชอบการสปอยล์ของ KZabs อย่าลืมกดแชร์ไปให้เพื่อน ๆ ได้อ่าน และเป็นกำลังใจสำคัญให้ทีมงาน เราดีใจที่ได้เป็นเพื่อนดูซีรีส์ของทุกคน
อ่านต่อ