[รีวิวซีรีส์] Do You Like Brahms? ฝากรักเอาไว้ในเพลง ฝากหัวใจเอาไว้ที่คุณ

“เรามาถึงบทเพลงสุดท้ายในค่ำคืนนี้กันแล้ว บทเพลงที่ปลอบใจคลาร่า มาฟังเพลงในชุดที่สองของบรามส์กัน ไวโอลิน โซนาตา หมายเลข 1, ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เสียงผู้ดำเนินรายการวิทยุเอ่ยก่อนที่บทเพลงจะบรรเลงขึ้น

แชซงอา เกิดคำถามเมื่อได้ยินบางประโยคนั้น เธอถามตัวเองในใจ “ดนตรีจะช่วยปลอบใจเราได้จริงหรือ” เพราะสำหรับนักศึกษาดนตรีเอกไวโอลินเช่นเธอ จำไม่ได้ว่าตัวเองเคยได้รับการปลอบประโลมใจผ่านเสียงดนตรีเมื่อไหร่กัน สิ่งเดียวที่เธอจำได้เกี่ยวกับดนตรี คือตอนที่เธอหัวใจสลาย

ถึงอย่างนั้น บนเตียงนอน เธอหลับตาลงและย้ำกับตัวเองในใจ . . “ฉันอยากให้เราเชื่อ ว่าดนตรีสามารถปลอบประโลมใจผู้คนได้จริงๆ”

พัคจุนยอง นักเปียโนระดับโลกคนนั้น กล่าวไว้ว่า “แม้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในวัยเด็กสักแค่ไหน แต่ดนตรีคือสิ่งที่ปลอบประโลมใจผมได้เสมอ”

ซงอาอาจไม่คาดฝันมาก่อน ว่าพัคจุนยองจะเป็นคนที่พิสูจน์ให้เธอเห็นและสัมผัสกับความรู้สึกนั้นได้อย่างลึกซึ้ง เมื่อเขาใช้ดนตรีปลอบโยนเธอแทนถ้อยคำใดๆ ในห้วงจังหวะหนึ่งที่ทั้งคู่ได้พบกันตอนที่ซงอาต้องการการปลอบประโลมใจที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต เขาได้ประทับความอ่อนโยนนั้นไว้ในหัวใจของเธอตลอดไป

การพบกันครั้งแรกของทั้งคู่ หรือจะเรียกให้ถูกคือในสถานการณ์ที่ทั้งคู่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ เป็นบรรยากาศการซ้อมเต็มวงครั้งสุดท้ายก่อนการแสดงไม่กี่ชั่วโมงของวงซิมโฟนีออเครสตร้าประจำมหาวิทยาลัยดนตรีที่ซงอาเรียนอยู่เป็นปีสุดท้าย ในวาระสำคัญของมหาวิทยาลัยที่ได้มาแสดงในหอศิลป์โซล นักดนตรีคนอื่นในวงอาจไม่รู้สึกพิเศษอะไรมากมายนักกับการทำหน้าที่ในวันนี้ แต่สำหรับซงอาในฐานะนักไวโอลินที่ 1 ผู้ได้เข้าร่วมวง รั้งท้ายด้วยคะแนนต่ำสุด การทำหน้าที่ในวันนี้กับสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทุกอย่างทุกนาทีคือความพิเศษสุดในชีวิตการเล่นไวโอลินของเธอ ความรู้สึกที่เธอแม้ไม่ได้เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่อาจปิดบังจากคนรอบข้าง

แทนที่จะเป็นความประทับตราตรึงในความทรงจำที่ดี กลับกลายเป็นความหัวใจสลายอีกครั้งกับดนตรีที่เธอรัก เมื่ออาจารย์วาทยากรเกิดอยากจะปรับเปลี่ยนเสียงดนตรีของวง แล้วชี้ไม้บาตองมาที่นักไวโอลินสองคนที่นั่งอยู่หลังสุด แน่นอนว่าซงอาคือหนึ่งในสอง จุนยองพบซงอาครั้งแรกที่นั่น

จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างจุนยองกับซงอา แต่มันไม่ได้ง่ายดายอย่างนิยายเพ้อฝัน เมื่อจุนยองคือนักเปียโนระดับโลก ผู้มีพรสวรรค์อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ซงอาคือนักศึกษาดนตรี เอกไวโอลินผู้มีคะแนนเรียนรั้งท้ายที่อ่อนด้อยพรสวรรค์ แต่มีหัวใจรักดนตรีคลาสสิก และเปี่ยมไปด้วยความฝันในฐานะนักไวโอลิน

เส้นกั้นบางๆ ที่ยังขวางทั้งคู่อยู่ไม่ใช่ลำดับชั้นในฐานะนักดนตรี แต่เป็นคนที่เคยอยู่ในหัวใจของจุนยองและซงอาต่างหาก เป็นรักซ้อนซ่อนรักที่ไม่อาจเปิดเผยแม้หัวใจจะเจ็บปวดเพียงไหนก็ตาม เมื่อคนที่เกี่ยวโยงเป็นสามเส้าต่างก็คือเพื่อนที่รักที่สุดอีกคนของเขาและเธอทั้งคู่ ที่ยังรายล้อมอยู่ในชีวิตของกันและกันตลอดมาและไม่เคยจะจากไปไหน

เรื่องราวความสัมพันธ์ มิตรภาพและความรักของพวกเขาเหล่านักดนตรีคลาสสิก ดำเนินไปพร้อมๆ กับการตามความฝันของแชซงอา หญิงสาวผู้เรียนจบบริหารธุกิจแล้วตัดสินใจที่จะสอบเข้าเรียนอีกครั้งในสาขาดนตรีคลาสสิกที่พลาดหวังซ้ำถึงสี่ปี กว่าที่เธอจะสอบผ่านได้รับคัดเลือกเข้าไปเรียน เธอไม่ได้เก่ง แต่เธอขยันและไม่เคยทิ้งความฝัน ไม่ว่าใครจะดูแคลนเธออย่างไร ทำให้เธอมีวันนี้ที่ได้พบกับพัคจุนยอง นักเปียโนระดับโลก ผู้มีชีวิตครอบครัวที่ยากลำบากในวัยเด็ก แต่เพราะความสูญเสียของครอบครัวหนึ่งและความเศร้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเปิดโอกาสให้จุนยองได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางของนักเปียโน ที่เติบโตมากับการตระเวนแข่งขันและคว้าชัยชนะจนได้เดินทางเปิดการแสดงในต่างประเทศตลอดหลายปีที่ใช้ชีวิตอยู่กับความโดดเดี่ยวและเงียบเหงา แลกกับความสำเร็จในอาชีพและการดูแลสถานภาพชีวิตของพ่อแม่

ถามว่าเขามีความสุขกับเส้นทางชีวิตที่เลือกเองนี้ไหม เขาอาจไม่ได้ตอบคำถามนี้ตรงๆ เพราะไม่ใช่ผู้ชายช่างพูด แต่เมื่อมองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและในหัวใจของเขา เมื่อซงอาก้าวเข้ามาสู่ชีวิตของจุนยอง ผู้คนรอบตัวเขาอาจบอกเราได้ว่าจุนยองเป็นผู้ชายที่ไม่เคยยิ้มได้สวยที่สุดเท่าวันนี้มาก่อนเลย

แชซงอาอาจเป็นรอยยิ้มที่หายไปของพัคจุนยอง ที่จะมาขับไล่ความเหงาเศร้าที่ห่มคลุมชีวิตผู้ชายคนนี้มาอย่างยาวนานก็เป็นได้

พัคอึนบิน เป็น แชซงอา ผู้หญิงท่าทางเรียบร้อย คล้ายขาดความมั่นใจ แต่มีฝันอันยิ่งใหญ่ในดนตรีคลาสสิก ที่เธอจะต้องมุ่งไปสู่ฝันนั้นให้จงได้ แม้เส้นทางจะยากลำบากเพียงไหนก็ตาม เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่น่าจดจำของอึนบิน เธอไม่ใช่คนเสียงเพราะ แต่มีความโมโนโทน เวลาที่เธอพูดไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำใดน้ำเสียงนั้นสามารถปลอบประโลมใจผู้ฟังได้จริงๆ อายุแค่ 28 แต่เวลา 20 ปีในฐานะนักแสดงของเธอ คงไม่ต้องบรรยายว่าฝีมือทางการแสดงของเธออยู่ในระดับไหน นอกจากน้ำเสียง สีหน้าแววตา ภาษาร่างกายในซีนดราม่าที่ต้องเล่นละเอียด เธอสอบผ่านฉลุย เรื่องนี้เธอเล่นไวโอลินเองด้วย มากกว่านั้นคือเป็นนางเอกที่ยิ้มสวยมาก ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

คิมมินแจ เป็น พัคจุนยอง ผู้ชายเงียบขรึมที่เก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ ทั้งความเศร้า ความรัก บนความอดทน ถ้าหากว่าสิ่งที่เขาอดทนอดกลั้นไว้นั้น จะทำให้ทุกคนมีความสุขมีความพอใจ เขายินดี จิตใจที่อ่อนโยนและความเป็นผู้ให้พาให้เขาได้มาพบกับผู้หญิงที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เธอมีฝันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยทอดทิ้ง ผู้หญิงที่มุ่งมั่นและไม่ทอดทิ้งอะไรในชีวิตไปง่ายๆ เธอผู้ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา

เวลา 5 ปีในฐานะนักแสดง เก็บเล็กผสมน้อยบทสมทบมาเรื่อยจนได้มารับบทนำเป็นเรื่องที่สองของคิมมินแจในวันนี้ อย่างน้อยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเหมาะสมที่จะยืนในจุดนี้ได้ น้ำเสียงทุ้มนุ่มอันไพเราะของเขากับรอยบุ๋มยาวเป็นขีดที่สองแก้มก็เพียงพอกับคำว่าผู้ชายมีเสน่ห์ไม่มากก็น้อย แม้จะตัวเล็กไปหน่อยก็ตาม แต่นางเอกไซส์พกพามีให้เลือกมากมายในวงการค่ะ

มินแจเล่นเปียโนมาก่อนตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ จึงไม่ใช่อุปสรรคในการถ่ายทำ กับเปียโนมินแจก็ทำได้ดีมากค่ะ โดยเฉพาะเพลงหวานๆ ที่จะทำให้คุณเข้าใจความหมายของคำว่า พรมนิ้ว บนคีย์บอร์ดของเปียโน แม้ฉันจะไม่มีความรู้ทางด้านดนตรีแต่ยังฟังเป็นค่ะว่า ดีดเปียโนแรงๆ ให้เกิดเสียงนั้นไม่ยากเท่าดีดเบาๆ อย่างไรให้ได้เสียงที่แผ่วพลิ้วมีความไพเราะและตรงตามที่เจ้าของบทประพันธ์ได้รังสรรค์ไว้

ในบรรดานักแสดงแวดล้อม ฉันขอยกให้ พัคจีฮยอน ในบทของ อีจองคยอง เป็นแคสติ้งที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งคนนอกเหนือจากพระ-นางของเราค่ะ เธอเป็นผู้หญิงที่สวยแต่ดูมีความเศร้าเป็นเจ้าเรือน ดูเรียบหรู ดูแพง ตรงตามคาแรคเตอร์ที่ควรจะเป็นของอีจองคยองที่สุด

ชมนักแสดงไปแล้วไม่ชมคนเขียนบทเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ไหนใครบอกเรียบๆ เรื่อยๆ ในความเนิบๆ ฉันซึมซับความนวลๆ ในอารมณ์ทุกโน้ตอย่างครบถ้วน ทั้งจากเรื่องราว การดำเนินเรื่อง และการแสดงที่ดี

งานภาพของซีรีส์เรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ฉันชอบมากค่ะ เรียบง่าย โอ่โถง ไม่รก สะอาดตา และแฝงความมีแบบแผน ที่หมดจดงดงาม สมกับเรื่องราวความคลาสสิก ลองสังเกตงานภาพดูคุณจะเห็นเลยว่าเขาปราณีตจริงๆ ยกตัวอย่างซีนนี้ เมื่อมององค์ประกอบรวมของภาพ ทำให้เรานึกถึงสีขาวและสีดำบนคีย์บอร์ดของเปียโน ebony and ivory live together in perfect harmony

เกือบทุกครั้งที่แชซงอาเอ่ยแนะนำตัวเอง เธอจะต้องเอ่ยชื่อตัวเองซ้ำๆ อยู่หลายรอบเพื่อตอบคำถามคนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจว่าเธอขอโทษอะไร เพราะชื่อของเธอแม้จะสะกดคนละคำแต่ไปพ้องเสียงกับคำว่า ขอโทษ มีแต่พัคจุนยองที่บอกเธอว่าเขารู้แล้ว ตอนที่เธอพยายามจะอธิบายย้ำเพราะเข้าใจว่าเขาจะถามซ้ำเหมือนใครๆ แต่เขาเปล่า

หลังจบการแสดงครั้งหนึ่งของจุนยอง ซงอาถามเขาว่า ชอบการแสดงของตัวเองไหม เขาตอบว่า ถ้าทุกคนชอบ เขาก็ดีใจ เธอบอกเขาว่า ไม่ใช่ที่คนอื่นคิด แต่เธออยากรู้สิ่งที่เขาคิด มันหมายถึงว่าเธอให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาคิด ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นคิด

แชซงอาจะไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษได้อย่างไรกับผู้ชายที่หาเรื่องเบี่ยงเบนเป้าหมายเพื่อให้เธอรอดพ้นจากสถานการณ์แย่ๆ ที่กำลังเผชิญตรงหน้า ผู้ชายที่เธอไม่ต้องอธิบายที่มาของชื่อตัวซ้ำๆ เหมือนทุกครั้ง และพัคจุนยอง ควรหรือที่จะปล่อยเธอคนนี้ไป ผู้หญิงที่แคร์ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรมากกว่าความชอบหรือไม่ชอบของคนอื่น คนหนึ่งใส่ใจ คนหนึ่งห่วงใย คนหนึ่งมีพรสวรรค์ แต่คล้ายจะไร้สุข คนหนึ่งไร้พรสวรรค์ แต่มีความสุขกับความฝันที่ไม่คิดจะทอดทิ้ง ความสอดคล้องและสมดุลที่ไม่ควรจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป

เรื่องราวความรักที่ไม่อาจสมหวังและมิตรภาพระหว่างผู้คน ถ่ายทอดผ่านชีวิตของนักดนตรีคลาสสิกหนุ่มสาวเหล่านี้ ที่เล่าเรื่องไปเนิบๆ เรื่อยๆ ให้เรารับชมอย่างเพลิดเพลินไม่มีเบื่อแม้แต่น้อยนิด ด้วยอารมณ์ละมุนละไม ไม่ต่างกับการฟังดนตรีคลาสสิกที่จะฟังอย่างตั้งใจก็ดี หรือจะเปิดคลอในตอนทำงานไปด้วยก็ได้ เริ่มต้นอย่างละเมียดละไม และค่อยเร่งจังหวะขึ้นในเวลาที่อารมณ์มาเต็มที่ ชนิดที่เริ่มแล้วต้องฟังให้จบครบองค์ แน่นอนค่ะว่าเราหวังว่าบทเพลงของจุนยองและซงอาจะจบลงอย่างงดงาม

เด็กน้อยถามว่า แม้จะพยายามอย่างหนัก แต่ก็ยังสู้คนที่มีพรสวรรค์ไม่ได้ อยากรู้ว่าคนที่ขยันและมีความพยายามจะเอาชนะคนที่มีพรสวรรค์ได้หรือไม่

คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ในวงการดนตรี เรื่องของพรสวรรค์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่การมีความฝันก็คือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากเพิ่มความพยายามลงไปด้วย ก็จะประสบความสำเร็จได้ อยากรู้ว่าเป็นคำพูดของใคร สามารถหาคำตอบได้ใน Do You Like Brahms?

การมีความฝันก็คือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด . . อย่าหยุดฝันค่ะ

<<คลิกที่นี่ เพื่อรับชม Do You Like Brahms? ซับไทย ทาง Viu>>