ไม่ดูคือพลาด รีวิวชวนดู Hunt ล่าคนปลอมคน สนุกจนนั่งไม่ติด
Hunt เป็นทั้งหนังย้อนยุค แอ็คชั่น ระทึกขวัญ และนัวร์ ที่มอบความสนุกจากการแสดงความตรึงเครียด เกรี้ยวกราด บ้าระห่ำแบบมีเป้าหมายของใครของมัน และมีรางวัลในการดูเป็นการได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาดุจไม้แกะสลักของ จองอูซอง กับใบหน้าที่ราวกับสตัฟฟ์ไว้ของ อีจองแจ บนหน้าจอเดียวกัน
ภาพยนตร์เรื่อง Hunt เล่าเรื่องราวในปี 1983 ที่เกาหลีใต้มีรัฐบาลทหารขึ้นปกครองแบบเผด็จการตามประวัติศาสตร์จริง มีการประท้วงไม่พอใจรัฐบาลหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศ และมีการค้นพบว่าข่าวภายในรั่วไหลออกไปถึงเกาหลีเหนือ ภารกิจการตามหาสายลับเกาหลีเหนือที่ใช้โค้ดเนมว่า “ทงลิม” จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
อีจองแจ รับบทเป็น พัคพยองโฮ รองผู้อำนวยการทีมที่ 1 ฝ่ายวางแผนความปลอดภัยแห่งชาติ เขามีประสบการณ์ยาวนานถึง 13 ปี ส่วน จองอูซอง นั้น รับบทเป็น คิมจองโด รองผู้อำนวยการทีมที่ 2 ฝ่ายวางแผนความปลอดภัยแห่งชาติ โดยเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งนี้ไม่เกิน 4 เดือน
ทั้ง พัคพยองโฮ และ คิมจองโด ต่างก็ถูกบีบให้ไม่ใจซึ่งกันและกัน ทั้งคู่ต่างสงสัยว่าอีกฝ่ายคือ ทงลิม การตามหาทงลิมจึงกลายเป็นความสนุกสุดลุ้นระทึก บู๊สนั่น ยิงกันลั่นจอ ไว้ใจกันไม่ได้สักนาทีเดียว
ภาพยนตร์แบ่งออกเป็น 3 องก์แห่งความสนุก
องก์แรกเป็นการทำให้ผู้ชมได้รู้จักบทบาทและหน้าที่ของ 2 ตัวละครหลัก พัคพยองโฮ และ คิมจองโด เมื่อเข้าองก์ที่ 2 ความเข้มข้นก็จะทวีคูณและคุณจะได้รู้ความจริงว่าใครคือ ทงลิม ในองก์นี้ เมื่อเข้าองก์ที่ 3 คุณจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างกระจ่างขึ้นและลุ้นกันสุดตัวว่าบทสรุปในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร
เนื้อเรื่องที่อัดแน่น รายละเอียดที่จัดเต็ม ทำให้คุณต้องมีสมาธิในการดูอย่างสูง
สำหรับใครที่เข้าไปดูภาพยนตร์โดยไม่เคยทราบประวัติศาสตร์ในยุคปี 80 มาก่อน คุณอาจจะต้องกุมขมับเล็กน้อย เมื่อถูกป้อนข้อมูลต่าง ๆ เข้าไปและหากคิดตามไม่ทัน รถไฟด่วนแห่งเนื้อเรื่องก็จะพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่รอให้คุณกลับมาทบทวน ดังนั้น ถ้าจะให้ดี คุณอาจจะต้องศึกษาเรื่องราวของเผด็จการในยุคของประธานาธิบดี ชอนดูฮวัน ไปก่อน ก็จะยิ่งทำให้เข้าใจว่าบริบทต่าง ๆ ในเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ดูแล้วรู้ว่าทำไมตัวละครถึงทำแบบนี้ มีความคิดแบบนั้น
ยิ่งถ้าเคยดูซีรีส์ Youth of May หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นักศึกษาประท้วงที่เมืองควังจู (กวางจู) ที่เรียกกันว่า “ขบวนการประชาธิปไตย 18 พฤษภาคม” ซึ่งนักศึกษาและประชาชนถูกทหารสั่งฆ่าเป็นจำนวนมาก อย่างที่เห็นในภาพยนตร์เรื่อง May 18, Taxi Driver, 1997 เป็นต้น รวมไปถึงเรื่องราวของสายลับเกาหลีเหนืออย่างในซีรีส์ Snowdrop คุณจะยิ่งเข้าใจภาพยนตร์เรื่องนี้และโดยสารบนรถไฟด่วนแห่งเรื่องราวได้ทัน
และหากจะให้เข้าใจถ่องแท้ขึ้น คุณควรจะต้องอ่านเพิ่มเติมในเหตุการณ์นักบินเครื่องบินขับไล่ชาวเกาหลีเหนือ อีอุงพยอง หลบหนีไปยังเกาหลีใต้ด้วยเครื่องบินขับไล่ในปี 1983 ซึ่งตัวละครที่ใช้เขาเป็นต้นแบบนี้ จะเป็นจุดหักมุมสำคัญในองก์ที่ 2 ของเรื่องเลย รวมไปถึงเรื่องราวของเหตุการณ์การลอบสังหารประธานาธิบดี ชอนดูฮวัน ที่่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า จะถูกนำมาดัดแปลงใช้ในเหตุการณ์องก์ที่ 3 ของเรื่อง
กรณีที่อยากดูแต่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ คุณควรตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูงในการจดจ่อกับหนังตลอดทั้งเรื่อง
นักแสดงรับเชิญระดับเบอร์ต้น ๆ เดินชนกันให้ควั่กในเรื่อง
ใครที่ดูภาพยนตร์ไปเพลิน ๆ แบบไม่ได้รู้ข้อมูลไปก่อน อาจจะเกิดความรู้สึก “เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่านะ” เพราะจู่ ๆ ก็ปรากฏภาพนักแสดงรับเชิญคนดัง อย่างเช่น คิมนัมกิล จูจีฮุน พัคซองอุง โจอูจิน จินซอนกยู ฮวังจองมิน จองแจซอง อีซองมิน ยูแจมยอง เป็นต้น ขอบอกว่าควรจับตามองนักแสดง คิมนัมกิล ไว้ เพราะชาวเกาหลีบางคนถึงกับต้องไปดูรอบ 2 หลังได้ยินว่าเขาแสดงด้วย เพราะอะไร ต้องไปดู
ตัดเกรดผู้กำกับมือใหม่ อีจองแจ
ต้องบอกเลยว่าให้เกรด A+ แบบไม่มีลำเอียง นั่นอาจเป็นเพราะอีจองแจได้วัตถุดิบมาดีและยังให้เวลากับการปรับปรุงบทยาวนานถึง 4 ปี พร้อมทั้งเลือกเพื่อนซี้คนรู้ใจอย่าง จองอูซอง มาประกบคู่กับตัวเอง ซึ่งเป็นอะไรที่หลายคนรอคอยมาถึง 23 ปี นับตั้งแต่การเจอกันในภาพยนตร์ City Of The Rising Sun เมื่อปี 1999 โดยการกลับมาเจอกันอีกครั้งนี้และกำกับเองนั้น อีจองแจ เคยให้สัมภาษณ์แบบติดตลกว่า เขาเขียนบทโดยใส่ความเท่ให้ไปกองรวมกันในบท คิมจองโด เพื่อจูงใจให้จองอูซองรับงานและอยากให้เขาออกมาดูดีที่สุดบนแผ่นฟิลม์ที่เขาเป็นคนกำกับ ซึ่งก็ออกมาตามนั้นจริง ๆ ไม่มีอะไรจะเถียงเลย
นอกจากนี้ อีจองแจ ก็ยังให้น้ำหนักกับบทภาพยนตร์ที่มีตัวหลัก 2 ตัวออกมาได้บาลานซ์เป็นอย่างดี อันนี้ต้องไปดูกันเอาเองจะเข้าใจว่าทำไมถึงบอกแบบนี้ การได้รับเลือกให้ไปฉายที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 75 ในรอบ Midnight Screening และเมื่อหนังฉายจบก็ได้รับการ Over Standing (ยืนปรบมือ) ยาวนาน 7 นาที จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด นี่ถ้าผู้ชมที่นั่นรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์จริง น่าจะยืนปรบมือนานกว่านี้ก็เป็นได้
ฉากในยุค 80 และฉากต่างประเทศเนียนตาน่าชื่นชม
เนื่องจากผู้เขียนรู้ข้อมูลเบื้องหลังอยู่แล้วส่วนหนึ่ง หลังดูจบจึงได้ถามความคิดเห็นของคนที่ไปดูแล้วว่า “คิดว่าเรื่องนี้ถ่ายทำที่ประเทศไหนบ้าง” เนื่องจากโลเกชั่นที่เราเห็นในเรื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ประเทศด้วยกัน นั่นก็คือ เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ วอชิงตัน (USA) โตเกียว (ญี่ปุ่น) และ กรุงเทพ (ไทย) โดยทั้งหมดเป็นฉากย้อนยุค คำตอบที่จะได้จากคนที่ไปดูแล้ว ต่างก็เดากันว่าคงไปถ่ายที่ประเทศนู้น ประเทศนี้ แต่แท้ที่จริงแล้ว อีจองแจ ร่วมกับผู้กำกับฝ่ายศิลป์และฝ่ายสเปเชียลเอฟเฟกต์ได้เนรมิตโลเกชั่นที่ว่าทั้งหมดในประเทศเกาหลีใต้ 100% ถ้าไปดูก็แน่นอนว่าอยากให้จับตามองฉากในกรุงเทพไว้ให้ดี เหมือนไม่เหมือน คนไทยน่าจะเป็นคนตัดสินได้ดีที่สุด
ความตรึงเครียดของเรื่องคือความสนุกที่น่าติดตาม
หนังมีความยาวทั้งสิ้น 125 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 5 นาที แน่นอนว่าถึงจะตั้งใจเพ่งสมาธิจดจ่ออย่างไร ก็จะต้องถูกความหล่อของ จองอูซอง กับ อีจองแจ ทำลายไปอย่างแน่นอน ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลา โอปป้าเรียกพี่บนหน้าจอขนาดใหญ่นั้นอยู่ในวัยเฉียด 50 ปีแล้ว แต่ทำไมถึงยังหล่อและเท่ได้ขนาดนี้ ถ้าจะให้ติก็มีจุดนี้แหละที่เป็นส่วนทำลายสมาธิที่มี
ในส่วนของฉากแอ็คชั่นที่อยากให้รอดู คงหนีไม่พ้นฉากต่อสู้กันที่บันได ซึ่งทำเอาตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะต้องขนาดนี้ และยังมีอีกหลายฉากต้องจับตาดู
ส่วนที่อยากจะติในหนัง น่าจะเป็นข้อมูลที่อัดแน่นจนเกินไป ด้วยเพราะตัวละครเยอะ ยังไม่ทันจดจ่อกับข้อมูลของตัวละครนี้ดี ตัวละครใหม่ก็โผล่มาให้เราทำความเข้าใจใหม่แล้ว การจะมีสมาธิตลอด 2 ชั่วโมงคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หนังก็ไม่ได้บู๊แอ็คชั่นสนั่นกันตลอดเวลา บางฉากก็จะมีให้ผู้ชมได้พักสมองบ้าง (นิดนึง)
นอกจากนี้ ฉากที่ตัวละครถูกระเบิดต่อหน้าหรือมีบาดแผล ความต่อเนื่องของแผลก็ไม่สมบูรณ์ ด้วย Timeline ที่ไม่ค่อยชัดเจนในเรื่อง แต่ความบีบคั้นของการให้เวลาค้นหาสายลับที่สั้น จึงเดาได้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดต่อเนื่องกัน และแผลหายเร็วแบบอัศจรรย์ไปหน่อย
แต่ถึงกระนั้น ความตึงเครียดของเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องก็ถือว่าสนุกมาก ๆ ยิ่งดู เราก็จะยิ่งได้รับการเฉลยไปเรื่อย ๆ ว่าทำไมตัวละครถึงต้องทำแบบนี้ ทำแบบนั้น และหลังจากดูหนังจบ กลับรู้สึกว่าในร่างกายอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องกลับมานั่งอ่านข้อมูลเพิ่มเติมโดยด่วน และอยากชวนทุกคนตีตั๋วไปดูในโรงหนัง เพื่อความตื่นตาตื่นใจและรับความสนุกได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ก่อนจบขอให้คะแนนกับ Hunt ภาพยนตร์ที่มีปฏิบัติการลอบสังหารอันดับ 1 ของเกาหลีเป็นเป้าหมาย ด้วยคะแนน 8.5/10 หักคะแนนในส่วนความหนาแน่นของข้อมูลและการไม่ต่อเนื่องของบางฉาก นอกจากนี้ อยากให้เกาหลีนำความหล่อของ จองอูซอง มาพิจารณาบรรจุเข้าเป็น “สมบัติแห่งชาติ” จริง ๆ
เชียร์ให้ไปดูสุดใจ สนุกคุ้มค่าสมการรอคอย
อ่านต่อ